Monthly Archives: February 2013

โรคความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิตสูง

 คราวนี้  เราหันมาโรคใกล้ตัว  คือโรคความดันโลหิตสูงนะครับ  ความจริงเรา ๆ ก็คงไม่อยากใกล้โรคกันหรอก  แต่มันก็แวะเวียนมาหาจนได้  ตามสังขารและกาลเวลาที่เปลี่ยนไป  ยิ่งภาวะปัจจุบันที่สังคมไทยมีความเครียดสูง (หนี้เน่าท่วมหัว)  ก็น่าจะมีความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงมากขึ้นไปอีก ความดันโลหิตคนเรา (ต้อง)  มีขึ้นได้เกิดจากหัวใจสูบฉีดเลือดแดงไปเลี้ยงร่างกาย  ผ่านระบบท่อนำเลือดแดงจากเส้นใหญ่ ๆ ใกล้หัวใจจนไปถึงปลายสุดคือเส้นเลือดฝอยที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ เช่น หัวใจ ไต สมอง ฯลฯ ค่าความดันที่แพทย์บอกให้ทราบทุกครั้งที่ไปตรวจ จะมี 2 ค่าคือค่าแรก (ค่าบน)  จะวัดช่วงที่หัวใจบีบตัว, ค่าที่ 2 (ค่าล่าง) จะวัดช่วงหัวใจคลายตัว  ซึ่งเรียก ซีสโตลิค  และไดแอสโตลิคตามลำดับ  ซึ่งค่าปรกติจะอยู่ไม่เกิน 140/90  มิลลิเมตรปรอท

          ว่ากันว่า  ในอเมริกาพบผู้ป่วยความดันสูงมากกว่า 140/90 นี้  ในผู้ใหญ่  ประมาณ 45% ในคนไทยผมว่า  อาจจะน้อยกว่านี้ซักเล็กน้อย  หรือใกล้เคียง  ยิ่งต่อไป  ฝรั่งจะยึดเมืองไทยแล้วคงจะเท่ากันเปี๊ยบเลยหล่ะ  (ว่าจะไม่วกเข้าเรื่องชวนเครียดแล้วนะครับ)  จะเป็นที่ฟ้าบันดาลหรือเราละเลยก็ไม่ทราบที่ว่า  มีผู้ป่วย  20-30 % เท่านั้น  ที่รักษาความดันสม่ำเสมอตามแพทย์แนะนำ  ที่เหลือนั้นรู้แล้วควบคุมไม่ดเ  หรือไม่สนใจรักษาเนื่องจากไม่มีอาการ

     ตามจริง  โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่มีความสำคัญและอันตราย  แต่เนื่องจาก  ระยะเริ่มแรกจะไม่มีอาการอะไร เมื่อเป็นมากแล้วจึงเริ่มมีอาการ จึงทำให้หลาย ๆ คนไม่ค่อยให้ความสำคัญและสนใจที่จะรักษา

                  ดังนั้นการที่เราจะทราบสถานะของความดันของเราต้องหมั่นวัดบ่อย ๆ นะครับ  ถ้าไม่รู้จะวัดที่ไหน ก็ตรงไปที่  รพ.อุบลรักษ์ฯ  เลยนะครับ  ยินดีตรวจสอบให้ เมื่อความดันเป็นนาน ๆ หรือมาก ๆ เข้าก็จะเริ่มมีอาการ  เช่น  ปวดศรีษะ  โยเฉพาะตอนตื่นใหม่ ๆ มึนงง  สมองไม่โล่ง  วิงเวียน  คลื่นไส้  อาเจียน  เหนื่อยง่าย  ถ้าเป็นมากเข้ามีอาการแทรกซ้อเช่น  ทางหัวใจ  ก็จะมี  เส้นเลือดหัวใจตีบฉับพลัน  มีเจ็บหน้าอก  ช็อค  เสียชีวิต  หรือหัวใจล้มเหลว  หอบเหนื่อย  น้ำท่วมปอด  อาการทางสมอง  เช่น  โลหิตสมองแตก  หรือตีบทำให้มีอาการตั้งแต่เบาะ ๆ คือวูบ  พูดไม่ชัด ชาตามมือเท้า  เป็นมาก ๆ เข้าจะถึงขั้นอัมพาต  หรือเสียชีวิต, ถ้ามีโรคแทรกซ้อนทางไตก็จะมีอาการ  ไตวาย, บวม, หอบ  และเสียชีวิตได้ นอกจากนั้น  อาการแทรกอื่น ๆ เช่นตาบอด  จากเส้นเลือดในตาตีบหรือแตก, ประสาทตาบวม  เส้นเลือดที่ขาตีบตัน ฯลฯ  จะเห็นได้ว่า  ภัยของโรคความดันโลหิตสูง  ถือว่ารุนแรงหนักหนาสาหัสพอสมควร  ถ้าเกิดภาวะแทรกซ้อนแล้ว  การรักษาจะทำได้ไม่มากนัก  ถ้าเกิดภาวะแทรกซ้อนแล้ว การรักษาจะทำได้ไม่มากนัก  วิธีที่ดีที่สุดคือ  การป้องกันโดยการรักษาแต่เนิ่น ๆ ยกเว้นแต่ว่า  ตั้งใจจะฆ่าตัวตายนะครับ  การที่จะรู้แต่เนิ่น ๆ  ก็โดยตรวจความดันเป็นประจำโดยเฉพาะท่านที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน (ไม่อยากเรียกอ้วนให้กินใจกัน) มีประวัติญาติพี่น้องเป็น  มีโรคอื่นอยู่แล้วเช่น เบาหวาน,ไขมันสูง,เก๊าท์ ดื่มสุรา,สูบบุหรี่เป็นประจำ  ทำไปเถอะครับไม่เสียหลาย  ขนาดรถยนต์ท่านยัง  ตรวจ check  ตามระยะตามกำหนดแถมทำประกันให้ด้วย  เพื่ออะไรละครับ  ก็เพื่อดูว่ามีอะไรบกพร่องจะได้ไม่ตายกลางทาง  ยิ่งเครื่องบินยิ่งแล้ว  ตรวจกันทุกเที่ยวบิน  ขนาดนั้นก็ตกกันได้ ชีวิตเราสำคัญกว่า  รถยนต์แยะครับ  (เพราะถ้าท่านเป็นอะไรไป  ก็ขับรถไม่ได้ดี)

การวินิจฉัยความดันสูง  ต้องวินิจฉัยให้แน่นอนว่าสูงจริงหรือไม่  โดยการตรวจหลาย ๆ ครั้ง  อาจจะถึง 3-4 ครั้ง  แล้วเอาค่าเฉลี่ยว่ามากกว่า 140/90  หรือไม่ต้องตรวจสอบว่ามีโรคอื่นร่วมด้วยหรือไม่เพื่อพิจารณา – แนวทางและชนิดยาที่จะใช้  ,ต้องตรวจสอบว่ามีโรคแทรกซ้อนแล้วหรือยัง ส่วนใหญ่จะเน้นหัวใจ  ไต  สมอง  เป็นหลัก  การรักษาอันดับแรก  ถ้าอ้วนต้องลดน้ำหนัก  กินอาหารอ่อนเค็ม  ไขมันต่ำ  ออกกำลังกายพอสมควร งดเหล้า  บุหรี่  หลีกเลี่ยงความเครียด, อดนอน  ถ้าความดันยังไม่ลดลงตามเกณฑ์แพทย์ก็จะพิจารณา  ให้ยาลดความดัน  ซึ่งยาลดความดันมีหลายชนิดเพื่อเหมาะสมกับความรุนแรง, ระยะเวลา, อายุ  หรือโรคที่เป็นร่วมกับความดันโลหิตสูง  เช่น  คนหนุ่มกับคนสูงอายุ, ความดันสูงเฉย ๆ กับความดันร่วมกับเบาหวาน  โรคไต  โรคเก๊าท์  นอกจากเลือกยาด้วยสาเหตุผลดังกล่าวแล้ว  ยาลดความดันที่ดี ควรจะมีคุณสมบัติดังนี้  (เพราะโรคความดันเป็นโรคไม่หายขาดอาจจะต้องกินเวลาตลอดชีวิต)

1.      ราคาไม่แพง (ถ้าถูกได้ก็ดี  แต่ของดีราคาถูกมีน้อยจริง ๆ ครับ)

2.      อาการข้างเคียงน้อยไม่ใช่กินแล้วเพลีย, วิงเวียน, ง่วง

3.    กินวันละน้อย ๆ ครั้ง เพราะต้องกินนาน  และคนไข้บางคนต้องกินยาหลายตัว  จะได้กินง่าย ไม่ลืม และไม่ขี้เกียจกิน  เช่น  วันละครั้ง  หรืออย่างมาก  เช้า + เย็น เป็นต้น

3.      มีผลเสริมอื่น ๆ เช่น  ลดหัวใจ, รักษาหน้าที่ไต   ป้องกันเส้นเลือดหน้าตัว

4.      ไม่เกิดปฏิกิริยา  เมื่อกินกับยาตัวอื่น  เช่นยาเบาหวาน, ยาลดไขมัน ยาหัวใจ, ฯลฯ

จะเห็นได้ว่า  โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรัง  และสำคัญต่อชีวิตเป็นอย่างมาก ราละเอียดค่อนข้างจะซับซ้อน  แต่อ่านแล้วไม่ต้องเครียดนะครับ ขอเพียงแต่ท่านหมั่นตรวจสอบ ไปตามหมอนัดทุกครั้งและปฏิบัติตัวตามที่แนะนำ  หนักก็จะกลายเป็นเบาครับ  หาหมอที่ถูกชะตาและไว้ใจกันซักคน(อายุรแพทย์)  ไม่ต้องเปลี่ยนหมอบ่อย ๆ ยกเว้นขัดใจจริง ๆ เพราะการเปลี่ยนหมอจะทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง   เนื่องจากอาจจะต้องปรับเปลี่ยนยา  เพิ่มลดตามความเหมาะสม  ที่สำคัญอย่าเครียดนะครับ  ยิ่งยุคฝรั่งยึดเมืองแบบนี้ก็ต้องทำใจ  ให้เห็นอนิจจังนะครับ มีข้นก็ต้องมีลงทุกอย่างเปลี่ยนไปตามธรรมชาติ และกาลเวลาเราต้องปรับตัวให้เข้ากับมัน ถึงจะอยู่ได้แบบดี ๆ (คือไม่บ้านั่นเอง)

โรคไขมันในเลือดสูง

ขมันในเลือดสูง

โดย แม่น้อยพลอย

 ปัจจุบันคนไทยมีอายุยืนขึ้น ทำให้พบโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย ได้มากขึ้น โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และโรคอัมพาต โรคดังกล่าวมีสาเหตุจากการที่หลอดเลือดแข็งตัว (atherosclerosis)และหลอดเลือดตีบตัน ซึ่งพบได้เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น

            ภาวะไขมันในเลือดสูง เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำใหเกิดหลอดเลือดแข็งตัว เราสามารถควบคุมและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะนี้ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะถ้าเริ่มป้องกันหรือรักษาตั้งแต่อายุประมาณ 35-40 ปี จะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และโรคอัมพาตในวัยชราได้อย่างมาก โดยทั่วไปการตรวจไขมันในเลือดจะตรวจสารต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1.      โคเลสเตอรอล (Cholesterol)

เป็นส่วนสำคัญของไขมันควคามหนาแน่นต่ำ โคเลสเตอรอลเป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง และรับจากสารอาหารที่รับประทานเข้าไป โคเลสเตอรอลเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดแข็งตัว และตีบตัน สารโคเลสเตอรอลนี้จะมีมากในไขมันสัตว์ระดับปรกติในโลหิต ไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัม ต่อ 100 ลบ.ซม.  และถ้าพบว่า สูงมากกว่า 200 มิลลิกรัม ต่อ 100 ลบ.ซม. ควรควบคุมและะรักษา จากการศึกษา พบว่า ถ้าลดระดับโคเลสเตอรอลลงได้ 1% จะทำให้โอกาสเกิดโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบลดลงถึง 2%

2.      ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)

ไขมันชนิดนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากอาหารที่รับประททนเข้าไป และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการสังเคราะห์ในร่างกาย ในคนอ้วนระดับไตรกลีเซิร์ไรด์ มักจะสูงได้บ่อย ๆ ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า ไขมันตัวนี้เป็นต้นเหตุของโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ ถ้าพบว่ามีระดับสูงมากหรือพบว่าสูงในคนที่มีโคเลสเตอรอลสูง เชื่อว่า โอกาสเป็นโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบเพิ่มขึ้นจึงควรรักษา

3.      เอชดีแอล (High Density Lipoprotain ; HDL)

เป็นไขมันที่มีความหนาแน่นสูง มีหน้าที่จับไขมัน โคเลสเตอรอล ในกระแสเลือดออกไปทำลายที่ตับ ดังนั้นถ้าระดับ HDL  นี้สูง จะมีผลทำให้โอกาสเป็นโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ และโรคหลอดเลือดลงโดยเฉพาะถ้าระดับ HDL  สูงเกิน 50 มิลลิกรัม ต่อ ลบ.ซม. HDL  จะสูงจากการออกกำลังกายและะจากยาลดไขมันบางชนิด

เมื่อท่านตรวจพบไขมันในเลือดสูง โดยระดับโคเลสเตอรอลสูงกว่า 200 มิลลิกรัม ต่อ ลบ ซม. ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตัน โรคนี้เป็นโรคที่เป็นกันมากขึ้น และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตสูงเป็นอันดับหนึ่งในปัจจุบัน ควนรีบปรึกษาแพทย์ทันทีนะครับ  

url=http://www.popcare.com/edu5.htm

โรคไตวายเรื้อรัง

ไตวายเรื้อรัง

โดย หมอ “เวง”

เห็นชื่อเรื่องแล้วอย่าเพิ่งงงนะครับ ฟังผมคุยไปเรื่อย ๆแล้วจะเข้าใจ ช่วง2-3 ปีก่อน ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองลาวบ่อย ๆ ส่วนใหญ่ก็จะไปปากเซ แขวงจำปาศักดิ์ ก็ไปเยียมเยื่อนคนไข้ซึ่งเป็นลูกค้าของรพ.เป็นหลัก และถือโอกาสไปเที่ยวด้วย ใคร่ๆที่ชอบธรรมชาติ(ที่บริสุทธิ์) ชอบความเป็นอยู่แบบเดิมๆ แล้วมักจะชอบไปเที่ยวเมืองลาว เหมือนเรากลับไปหาอดีตเมื่อ 30 ปีก่อน เลย ทำให้มักคุ้นกับผู้คนแถบนี้อยู่พอสมควร ลาวกับไทยสมเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันจริง ๆ นะครับ คือพูดง่าย ๆ คุยกันรู้เรื่อง ไม่ต้องพูดภาษาอื่น  และที่ชอบอีกอย่างคือ ภาษาพูดเค้าจะใช้คำง่าย ๆ เช่น  โรงพยาบาล   เค้าเรียก “โฮงหมอ” ห้องฉุกเฉิน เรียก”ห้องฟ้าว” ห้องผ่าตัดเรียกั”ห้องปาด,ห” ห้องคลอดเรียก”ห้องประสูติ” เป็นต้น ส่วนบักไข่หลังที่จั่วหัวไว้ หมายถึง   ไตนั่นเอง

บักไข่หลังเสื่อมคือ โรคไตวาย   เหตุผลที่เรียก “ไข่หลัง” น่าจะเป็นจาก(ผมเดาเองนะครับ) รูปร่างของไตเหมือนไข่(ความจริงเหมือนเมล็ดถั่ว) อยู่ที่หลัง(บั้นเอว) 2 ข้าง (ข้างละอัน) หรือจะแปลอีกอย่าง คือ ไข่ที่อยู่ข้างหลัง โดยเหตุผลสนับสนุนว่า ไข่คู่อันข้างหน้าก็คือลูกอัณฑะ (รึเปล่า)

            โรคไต  มีหลายประเภทนะครับบางอย่างเป็นแล้วรักษาหายขาดปกติโรคบางอย่างรุนแรง มีการทำลายไตไปมากๆ ก็ทำหน้าที่ไตลดน้อยลงมากๆ ร่างกายก็เริ่มแย่ จากภาวะไตพร่องกลายเป็นโรคไตวาย ซึ่งผมพูดถึงเฉพาะ  ไตวายเรื้อรัง ซึ่งรักษาไม่ค่อยหายขาดและการรักษาค่อนข้างซับซ้อนก่อนอื่นเรามาดูที่ไตก่อนนะครับ ไตมีหน้าที่หลายอย่าง หน้าที่หลักที่ทราบกันทั่วไป คือ ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ที่เราเห็นกันทุกวัน ๆ คือปัสสาวะนั่นแหละครับปัสสาวะมาตั้งเยอะ 50-60 ปีมาแล้วไม่มีปัญหา ไม่ปัสสาวะซัก 2 วัน จะเป็นอะไรไปเกิดเรื่องแน่นอนครับ ในการดำรงชีวิตของทุกๆ วันซึ่งต้องกินอาหารเข้าไปเพื่อย่อยสลายเป็นพลังงานให้มีชีวิตอยู่(ใช้หนี้ IMF) ก็ต้องมีของเสียเกิดขึ้น ของเสียบางส่วนเปลี่ยนเป็นรูปกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ผ่านทางปอดและหายใจออกไป ของเสียที่ไม่สามารถสลายเป็นก๊าซได้ เช่น อาหารที่สลายจากโปรตีน และกรดด่าง จะขับออกทางไต ฉะนั้นต้องออกทุกวัน เปรียบง่าย ๆ กับท่อน้ำเสีย ถ้าเกิดการอุดตัน บ้านาท่านคงเจิ่งนองไปด้วยน้ำเสีย สิ่งปฎิกูลต่าง ๆ (เห็นภาพพจน์นะครับ) หน้าที่ไตอื่น ๆเห่นการรักษาดุลย์ กรดด่าง, เกลือแร่ในร่างกายและสร้างฮอร์โมน กระตุ้นการสร้างเม็ดโลหิตแดง ไม่ให้โลหิตจาง

            สาเหตุของไตวายเรื้อรัง มีหลายอย่าง ที่พบบ่อย ๆคือ ไตอักเสบเช่นจากโรค SLE (ลูปุส),นิ่วกไต,เบาหวาน,ความดันโลหิตสูง,เก๊าท์ที่ควบคุมไม่ดี,ยาแก้ปวดบางตัว ฯลฯ ภาวะที่ว่านี้ทำให้หน้าที่ไตเสื่อมลงเรื่อย ๆ พอลดลงถึงระดับหนึ่ง (มากกว่า 50 %) อาการไตวายก็ตจะเริ่มปรากฎ แรก ๆ จะไม่มีอาการใด ๆ อาการเริ่มต้นตั้งแต่ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย วิงเวียน ซีด ๆ บวม ๆ ตามหน้า,ขา: ปัสสาวะจะผิดปกติ ไตวายบางชนิดปัสสาวะปกติ บางชนิดจะปัสสาวะน้อย หรือไม่ปัสสาวะเลย ความดันโลหิตอาจสูงขึ้นหรือสูงมากกว่าเดิม อาการปวดหลังที่ ชาวบ้านชอบกลัวว่าจะเป็นโรคไต จะพบในกรณีโรคไตวายที่เกิดจากโรคนิ่วเท่านั้น จึงสรุปว่า อาการปวดหลังอาจจะเป็นโรคไตหรือโรคอื่น ก็ได้และโรคไตวายเองก็อาจจะไม่ปวดหลังเลยก็ได้ถ้าโรคเป็นหนักเข้าก็จะหอบเหนื่อยจากภาวะน้ำเกิน,ปอดชื้น,ไอ,นอนราบไม่ได้,คลื่นไส้อาเจียน,บวมมาก. สุดท้ายหัวใจจะล้มเหลว น้ำท่วมปอดมาก หายใจเป็นฟอง อาจมีเลือดปน เกลือแร่บางตัวอาจสูงมากเช่น โปแตสเซียม ทำให้ถึงแก่กรรมได้ ถ้ารักษาไม่ทันท่วงที

การรักษาโรคไตวายเรื้อรัง ประกอบด้วย รักษาภาวะวิกฤติซึ่งจะทำให้คนไข้เสียชีวิตก่อน เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะชัก,ภาวะโปแตสเซียมเกิน เมื่อภาวะดังกล่าวบรรเทาแล้วต้องหาสาเหตุ และแก้ไข เช่น ผ่าเอานิ่วออก ,ควบคุมเบาหวาน, ความดันโลหิตให้ใกล้เคียงปกติ,รักษาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ถ้ารักษาโรคอันเป็นสาเหตุแล้ว หน้าที่ไตก็จะกลับฟื้นมาบางส่วน ถ้าหน้าที่ไตไม่กระเตื้องขึ้น จากการรักษาดังกล่าว วิธีการต่อไปมี 2แบบใหญ่ ๆ คือ

1.      รักษาประคับประคอง  โดยการควบคุมอาหาร ควรลดอาหารโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ขาว,ไปเน้นทางแป้ง,ไขมัน แทน ลดอาหารเค็ม ถ้าปัสสาวะน้อยควรลดปริมาณน้ำดื่มต่อวันด้วย,การใช้ยาหลายชนิด รวมถึงฮอร์โมนเพิ่มเลือดด้วย,และร่วมการฟอกไต(ล้างไต)ด้วยเครื่องไตเทียม ต้องยอมรับว่าการรักษาดังกล่าวมานี้ต้องทำไปตลอดชีวิต การฟอกไตก็คือการใช้เครื่องไตเทียมทำงานแทนไต โดยเอาเลือดจากตัวผ๔ป่วยเข้าเครื่องดูดของเสีย,น้ำส่วนเกินออกไป เสร็จแล้วก็ส่งเลือดกลับคืนสู่ตัวผู้ป่วยในเวลาเดียวกัน

2.      การเปลี่ยนไต  เป็นการรักษาที่ดีที่สุดเพราะจะทำให้โรคหายขาดเป็นปกติ (แต่) ปัจจุบัน ถึงแม้การแพทย์จะก้าวหน้ามาก การเปลี่ยนไต ก็ยังอาจมีปัญหาได้ ถ้าร่างการผู้ป่วยไม่ี่รับไตใหม่ ขั้นตอนที่สำคัญคือการคัดเลือกผู้ป่วยเพื่อรับการเปลี่ยนไตให้เหมาะสมคือ ไม่ใช่ผู้ป่วยทุกรายจะสามารถเปลี่ยนไตได้หมด

คุยกันพอสังเขปนะครับมากไปเดี๋ยวเครียดกันเปล่า ๆ โรคทุกโรคก็เหมือนกันละครับ ถ้ารู้เร็วก็ดีไป รู้ช้า ๆ บางทีก็ลำบาก โรคบางอย่างก็ไม่แสดงอาการจนกว่าจะเป็นมากนะครับ ต้องอาศัยการตรวจสุขภาพเป็นประจำจึงจะรู้  ก็ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพกายใจอันสมบูรณ์เข้มแข็งกันตลอด

url=http://www.popcare.com/edu8.htm

โรคลมชัก

โรคลมชัก           โดย  หมอเชวง

โรคลมชัก คือ โรคที่มีอาการชัก,เกร็ง,กระตุกส่วนใดส่วนหนึ่งหรืออาจจะทั้งหมดทุกส่วนของร่างกายเลยก็ได้ ส่วนใหญ่จะมีอาการหมดสติ กัดฟัน,กัดลิ้น, ร่วมด้วยถ้ารุนแรงๆไม่ยากใช้คำว่าลมบ้าหมู เพราะอาจจะทำให้เข้าใจผิด เช่น กินหมูแล้วชัก ซึ่งไม่เกี่ยวกัน หรือในคนที่เกลียดหมูเขาอาจจะทำให้เข้าใจกันผิด เขาอาจเคืองเอาก็ได้ (อาจจะต้องบอกว่าเป็นลมบ้าไก่,บ้าเป็ด,แทน) คนเราปกติ อนุญาตให้ชักได้ 1 ครั้ง เช่น อดนอนจัดๆ เครียดมาก ๆ ดื่มหนักๆ ถ้าชักมากกว่า 1 ครั้ง ต้องหาสาเหตุ เช่น ในเด็กอาจจะเกิดจาก ไข้ ความพิการทางสมอง ในผู้ใหญ่ต้องหาว่าอาจจะมีไข่พยาธิตัวตืดขึ้นสมอง เนื้องอกในสมอง เส้นเลือดสมองโป่งหรือตีบ เป็นต้น

  โรคลมชัก จะมีอันตรายช่วงที่ชักมาก ๆ เช่นกัดลิ้นตัวเอง ล้มแล้วบาดเจ็บ หรือถ้ามีโรคประจำตัวอื่น เช่น โรคหัวใจ อาจจะหัวใจวายต่อได้ ช่วงที่ชัก ถ้าอยู่บ้านต้องหาอะไรรองฟันไม่ให้กัดลิ้น เช่นยาง ผ้าผืนเล็ก ๆ ถ้าหาไม่ได้ก็ใช้ด้ามช้อน ถอดฟันปลอม(ถ้ามี) อย่าพยายามเอานิ้วมือเราไปแหยไว้ก่อน นิ้วอาจจะขาดได้ จากนั้นรีบนำส่งโรงพยาบาล แพทย์ก็จะทำการช่วยเหลือเบื้องต้น หาสาเหตุ และการรักษาอาการแทรกซ้อน (ถ้ามี)

  การให้ยากันชัก ในกรณีที่ไม่พบสาเหตุชัดเจน ก็จะให้ยากันชักกินประมาณ 3-5 ปี ในช่วงการรักษานี้ คนไข้ต้องพยายามกินยาให้สม่ำเสมอ ไม่ควรที่จะอดนอน เครียดหรือดิ่มเหล้า ไม่ขาดยาเองเพราะจะทำให้ชักรุนแรง ถ้าหากมีสาเหตุก็รักษาไปตานนั้นเช่น ให้ยาฆ่าไข่พยาธิตัวตืด รวมไปด้วย  

url=http://www.popcare.com/edu11.htm

โรคมาลาเลีย

โรคมาลาเรีย

เป็นโรคติดต่อในประเทศเขตร้อน เกิดจากเชื้อใน class sporozoa,Genus Plasmodium ซึ่งเป็นสัตว์เซลล์เดียว ติดต่อโดยการที่ถูกยุงกัด

หลังจากถูกกัด10-14 วันจะมีไข้หนวาสั่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้ครั้งแรกจะมีอาการรุนแรงเนื่องจากยังภูมิต่อเชื้อนี้ หากติดเชื้อครั้งต่อไปอาการจะรุนแรงน้อยลง การวินิจฉัยทำได้โดยการย้อมเชื้อจากเลือด ในวันแรกอาจจะต้องเจาะเลือดทุก 6 ชั่วโมง

การรักษาจะต้องให้การรักษาอย่างเร่งด่วน หากรักษาช้าอาจจะเกิดโรคแทรกซ้อนและทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต

การป้องกันดีที่สุดคืออย่าให้ยุงกัด การใช้ยาป้องกันในประเทศไทยอาจจะไม่ได้ผลเนื่องจากเชื้อเริ่มมีการดื้อยาอย่างมาก การจะรับยาป้องกันต้องปรึกษาแพทย์

url=http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/malaria/intro.htm

โรคคอตีบ

โรคคอตีบ diphtheria

โรคคอตีบหรือ Diphtheria เป็นโรคติดต่อร้ายแรงเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อนี้จะทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุจมูก คอ และหลอดลม เชื้อนี้ทำให้เกิดเยื่ออุดหลอดลม เชื้อยังสารสาร Toxin ซึ่งจะทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ

เชื้อที่เป็นสาเหตุคอตีบ

เป็นเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Corynebacterium diphtheriae

อาการของโรคคอตีบ

อาการของโรคคอตีบมีดังต่อไปนี้

  • น้ำมูกไหล
  • เจ็บคอ
  • ครั่นเนื้อครั่นตัว
  • มีไข้
  • ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต
  • มีเยื่อที่คอ
  • หายใจลำบาก
  • กลืนลำบาก

การติดเชื้อที่ผิวหนัง

เชื้อนี้จะทำให้เกิดแผลที่ผิวหนังทำให้เกิดอาการเจ็บปวด แผลมีการอักเสบ และมีหนองเขียวที่แผล

การติดต่อ

โรคคอตีบติดต่อโดยการกิน หรือหายใจเอาน้ำลายหรือเสมหะของผู้ป่วยเข้าไป อาการจะเกิดหลังจากได้รับเชื้อ 2- 10วัน ที่สำคัญผู้ป่วยบางคนมีเชื้อนี้แต่มีอาการน้อยซึ่งอาจจะทำให้เชื้อแพร่กระจาย การติดต่อมี 3 ทาง

  • เมื่อผู้ป่วยจามหรือไอเชื้อโรคจะไปกับน้ำลายและเสมหะ คนปกติเมื่อสูดดมเข้าไปก็จะเกิดโรคโดยเฉพาะในที่ระบายอากาศไม่ดี
  • คนปกติได้รับเชื้อจากรับประทานโดยมีการปนเปื้อนน้ำลายหรือเสมหะผู้ป่วย เช่นน้ำดื่ม อาหาร แว่นตา
  • ติดต่อจากเครื่องใช้ในครัวเรือนร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว ของเล่น

กลุ่มที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค

  • ผู้ที่สัมผัสกับคนที่ป่วยเป็นโรคนี้
  • ผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน
  • ผู้ที่มีภูมิบกพร่อง
  • ผู้ที่อาศัยในพื้นที่สุขอนามัยไม่ดี
  • นักท่องเที่ยวไปยังแหล่งระบาด

การตรวจร่างกาย

ระบบหายใจ

  • คอตีบผู้ป่วยจะมีไข้
  • เมื่อตรวจคอจะพบฝ้าขาวที่คอต่อมทอนซิล
  • ที่คอจะพบต่อมน้ำเหลือที่คอ ใต้หู
  • ฟังปอดอาจจะได้เสียงหลอดลมตีบ stridor

ระบบหัวใจและหลอดเลือด

ทางระบบประสาท

  • อาจจะทำให้เส้นประสาทสมองเป็นอัมพาตเกิดอาการปากเบี้ยว ม่านตาโต ตาเข
  • มีปลายมือปลายเท้าชา
  • มีกล้ามเนื้ออ่อนแรง

การวินิจฉัยโรค

  • จากประวัติการเจ็บป่วย
  • จากประวัติไปท่องเที่ยวยังแหล่งระบาด
  • ตรวจร่างกายพบแผ่นฝ้าขาวในคอ
  • เพาะเชื้อจากแผ่นฝ้าขาว

การรักษา

เมื่อสงสัยว่าจะเป็นโรคคอตีบจะต้องให้การรักษาโดยที่ไม่รอผลการตรวจ

  • ให้นอนโรงพยาบาล และนอนห้องแยกโรคเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
  • เฝ้าระวังเรื่องระบบหายใจอย่างใกล้ชิดเนื่องจากอาจจะมีการอุดทางเดินหายใจ
  • เฝ้าระวังระบบไหลเวียนเนื่องจากโรคคอตีบอาจจะทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เกิดหัวใจล้มเหลวหรือความดันโลหิตต่ำ
  • ยาปฏิชีวนะเช่น penicillinหรือ Erythromycin รักษาทั้งผู้ป่วย และผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย ระยะเวลารักษา 14 วันเพื่อฆ่าเชื้อโรค
  • ให้ Diphtheria antitoxin ทันทีที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้
  • ยาอื่นๆรักษาตามอาการ
  • การผ่าตัดเอาแผ่นฝ้าขาวออกหากมีการอุดหลอดลม
  • รักษาโรคแทรกซ้อน
  • ให้พักผ่อน

การป้องกัน

ป้องกันโดยการให้วัคซีนป้องกันคอตีบ

โรคแทรกซ้อนของโรคคอตีบ

ท้องร่วง

โรคท้องร่วงจากเชื้อไวรัส

ทุกปีจะมีผู้ที่ป่วยด้วยโรคท้องร่วงจากเชื้อไวรัส ในจำนวนนี้มีผู้ที่มีอาการถ่ายเหลวรุนแรงจนเสียชีวิต ผู้ที่ได้รับเชื้อจะมีอาการ

  • ร้อยละ 44 มีอาการท้องร่วงอย่างเดียว
  • ร้อยละ 29 มีอาการอาเจียนอย่างเดียว
  • ร้อยละ 27 มีอาการทั้งสองอย่าง

เชื้อที่เป็นสาเหตุ

  • ร้อยละ 96 ของการระบาดเกิดจากเชื้อ Norwalk-like viruses
  • ร้อยละ 5-20 เกิดจากเชื้อ Adenovirus
  • ร้อยละ 5 เกิดจากเชื้อ Astrovirus

การติดต่อ

ส่วนใหญ่การติดต่อจะติดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งโดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อน เชื้อโรคอาจจะยังติดต่อแม้ว่าคนติดเชื้อจะไม่มีอาการแล้วก็ตาม นอกจากนั้นในภาวะน้ำท่วมเชื้อก็อาจจะปนเปื้อนน้ำดื่มน้ำใช้ทำให้เกิดโรค

  • ร้อยละ 39 ติดต่อทางอาหาร
  • ร้อยละ 12 ติดต่อจากคนสู่คน
  • ร้อยละ 3 ติดต่อทางน้ำ
  • ร้อยละ 18 ไม่ทราบสาเหตุ

อาการของโรค

  • ผู้ป่วยจะเกิดอาการหลังได้รับเชื้อ 2-10 วัน
  • ผู้ป่วยจะถ่ายเหลวเป็นน้ำ บางรายมีอาการปวดท้อง บางรายอาจจะมีไข้ต่ำๆ
  • หากถ่ายมากจะมีอาการของคนขาดน้ำ อ่านที่นี่

การรักษา

อ่านที่นี่

ภาวะขาดน้ำ

การป้องกัน

  • เน้นเรื่องการล้างมือ อ่านที่นี่
  • สำหรับผู้ที่มีอาการถ่ายเหลวหรืออาเจียนให้แยกผู้ป่วยจากคนอื่น
  • อาจจะใช้แอลกอฮอลล์เช็ดมือ
  • url=

http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/GI/viral_gastro.html

ไข้หวัดนก

โรคไข้หวัดนก

20 ปีที่ผ่านมา โลกได้เกิดโรคใหม่ที่เกิดจากเชื้อไวรัสได้แก่ Hantavirus SARS monkeypox และไข้หวัดนก เชื้อโรคที่มีแนวโน้มที่จะระบาดไปทั่วโลกได้แก่ เชื้อไข้หวัดนก H5N1

ไข้หวัดนกที่ระบาดเมื่อ 2 ปีก่อนหน้านี้ได้กลับมาระบาดอีกครั้ง การแพร่กระจายของเชื้อโรคได้กระจายไปทั่วโลก หลายๆประเทศได้มีการเตรียมแผนปฏิบัติการ ทั้งก่อนเกิดการระบาดและขณะระบาด สำหรับประเทศไทยก็มีการจัดการร่างแผนการแก้ไข แต่เนื่องจากประสบการณ์ในการควบคุมโรคครั้งแรกล่าช้าทำให้เชื้อกระจายทั่วประเทศ ไทยคงได้ประสบการณ์จากการควบคุมไข้หวัดนก และไข้หวัดซาร์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก สำหรับประชาชนคนไทยคงจะต้องเรียนรู้และช่วยตัวเองให้มากที่สุด ผู้เขียนได้รวบรวมข้อมูลที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ทั้งตัวเอง ครอบครัวและประเทศของเรา

โรคไข้หวัดนก

เชื้อไข้หวัดนกคืออะไร avian influenza

ไข้หวัดนก

เชื้อไข้หวัดนกเป็นเชื้อไวรัสโดยธรรมชาติจะติดต่อในนกเท่านั้น โดยเฉพาะนกป่า นกเป็ดน้ำจะเป็นพาหะของโรค เชื้อจะอยู่ในลำไส้โดยที่ตัวนกไม่มีอาการ เมื่อนกป่าเหล่านี้อพยพไปก็จะนำเชื้อนั้นไปด้วย เมื่อสัตว์อื่น เช่นไก่ เป็ด หมูเมื่อไก่หรือสัตว์เลี้ยงอื่นได้รับเชื้อไข้หวัดนกจะเกิดอาการสองแบบคือ

  1. หากได้รับเชื้อชนิดไม่รุนแรง low pathogenic สัตว์เลี้ยงนั้นอาจจะมีอาการไม่มากและหายได้เอง
  2. หากเชื้อที่ได้รับมีความรุนแรงมาก highly pathogenic ก็จะทำให้สัตว์เลี้ยงตายหมดโดยมากภายใน 2 วัน
คนจะติดเชื้อไข้หวัดนกจากนกหรือไม่

ยังไม่มีรายงานว่าคนติดไข้หวัดนกจากนก

ผลกระทบของการระบาดไข้หวัดนกในไก่ต่อสุขภาพของคน

การระบาดของเชื้อไข้หวัดนกH5N1ในไก่ ส่งผลต่อสุขภาพของคนสองประการได้แก่

  1. มีการติดเชื้อไข้่หวัดนกจากไก่สู่คนซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายคนจากการระบาดครั้งที่แล้ว
  2. การกลายพันธ์ของเชื้อH5N1ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อจากคนสู่คนเกิดการระบาดไปทั่วโลก
ประเทศที่มีการระบาดของเชื้อ H5N1สู่คน

การระบาดของเชื้อไข้หวัดนกสู่คนมีหลายประเทศดังนี้

  • กัมพูชา
  • เวียดนาม
  • ลาว
  • อินโดนีเซีย
  • ไทย

ส่วนฮ่องกงเคยระบาดเมื่อปี 1997 สถานการณ์ไข้หวัดนกวันที่ 17 พย 2548

คนติดไข้หวัดนกได้อย่างไร

เมื่อนกป่าหรือนกน้ำมาอาศัยก็จะถ่ายอุจาระที่มีเชื้อโรค สัตว์เลี้ยงเช่นไก่เมื่อได้รับเชื้อโรคก็จะเกิดการติดเชื้อ ซึ่งสามารถแพร่สู่คนได้ เมื่อไก่ตายหรือป่วยก็จะมีการนำไก่เหล่านั้นไปบริโภคทำให้เกิดการติดเชื้อไข่หวัดนกจากไก่ การติดต่อมักจะเกิดขณะการเชือดไก่ การถอนขนไก่ การทำความสะอาดเครื่องในไก่

เชื้อไข้หวัดนกมักจะติดต่อระหว่างสัตว์ปีกแต่ก็สามารถติดต่อระหว่างนกสู่คนโดยเฉพาะสายพันธ์ H5N1คนจะได้รับเชื้อทาง

  • สัมผัสโดยตรงจากไก่ที่ป่วยเป็นโรค โดยสัมผัสเสมหะ หรือสารคัดหลั่ง
  • สัมผัสกับอุจาระของสัตว์ที่เป็นโรค
  • พื้นดินที่มีเชื้อโรคอยู่
มีโอกาศที่เชื้อ H5N1จะระบาดทั่วโลก

การที่เชื้อไข้หวัดนก H5N1จะระบาดทั่วโลกต้องมีปัจจัยสามประการได้แก่

  1. มีการเชื้อโรคชนิดใหม่
  2. เชื้อก่อให้เกิดโรครุนแรงในคน
  3. เชื้อนั้นสามารถติดต่อจากคนสู่คน

สำหรับเชื้อไข้หวัดนกมีองค์ประกอบเพียงสองข้อ ยังขาดการระบาดจากคนสู่คน อย่างไรก็ตามหากยังมีการระบาดของไข้หวัดนกในไก่ยังคงมีต่อเนื่องก็มีโอกาศที่เชื้อจะกลายพันธ ์ทำให้เกิดการติดเชื้อจากคนสู่คน

โอกาศของเชื้อไข้หวัดนก H5N1 จะระบาดทั่วโลกมีอะไรบ้าง

โกาศที่เชื้อไข้หวัดนกจะระบาดทั่วโลก Pandemic มีโอกาศคอนข้างมากการป้องกันจะทำได้โดยการกำจัดปัจจัยเสี่ยงสองประการคือ

  1. การกลายพันธ์ของเชื้อไข้หวัดนก การกลายพันธ์ของเชื้อไข้หวัดนกมีสองวิธีคือ
  • Reassortment คือการที่เชื้อไข้หวัดนกได้แลกเปลี่ยนพันธุกรรมระหว่างไวรัสที่ติดเชื้อในคนและไวรัสป้องกันไข้หวัดนก การป้องกันการกลายพันธ์ทำไดโดยการป้องกันมิให้เชื้อไข้หวัดนกข้ามพันธ์กับเชื้อไข้หวัดใหญ่ วิธีการคือแยกการเลี้ยงไก่และหมูออกจากกัน คนที่ทำงานฟาร์มไก่ หรือคนที่ทำลายไก่ หรือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
  • Mutation คือการกลายพันธ์ด้วยตัวมันเองซึ่งต้องใช้เวลานาน วิธีป้องกันการกลายพันธ์นี้ทำได้โดยการกำจัดแหล่งแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัดและรีบทำลายเชื้ออย่างรวดเร็ว แต่จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่พบว่าเชื้อได้ระบาดไปทั่วโลกจนเป็นเชื้อประจำถิ่นทำให้การกำจัดเชื้อเป็นไปได้ยาก นอกจากนั้นเชื้อยังติดต่อสู่คน ทุกครั้งที่เชื้อติดต่อสู่คนก็จะทำให้เชื้อพัฒนาติดคนได้ง่ายขึ้น และอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานขึ้น
  1. การระบาดของเชื้อไข้หวัดนกในไก่ หากมีการระบาดของไข้หวัดนกในไก่ และมีการติดเชื้อสู่คนก็จะเพิ่มโอกาศที่เชื้อจะกลายพันธ์
ปัจจัยอื่นๆที่ทำให้เชื้อไข้หวัดนกมีการระบาดมีอะไรบ้าง
  • เป็ดไล่ทุ่งซึ่งเป็นพาหะของโรคซึ่งเป็นแหล่งแพร่พันธ์ไปยังสัตว์ธรรมชาติทำให้เชื้อมีการกระจายเป็นวงกว้าง
  • เชื้อไข้หวัดนก H5N1 ที่พบในปี 2004 มีความรุนแรงและอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นามกว่าเชื้อที่พบในปี 1997
  • เชื้อไข้หวัดนก H5N1 สามารถติดไปยังสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่นเสือ แมว
  • การอพยพของนกป่าและนกน้ำเปลี่ยนแปลงไป
ผลกระทบเมื่อเกิดการระบาดใหญ่ของไข้หวัดนก
  • เมื่อเกิดการระบาดของไข้หวัดนกในคน ไม่ใครที่จะหยุดการระบาดได้ เชื้อจะติดต่อจากคนสู่คนโดยการจามหรือไอ นอกจากนั้นคนที่ได้รับเชื้ออาจจแพร่เชื้อโดยที่ยังไม่มีอาการทำให้เชื้อระบาดไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว
  • ประมาณว่าจะมีประชากรโลกติดเชื้อร้อยละ 25-30 โดยประมาณว่าจะมีคนเสียชีวิตประมาณ 2-7.4 ล้านคน หากเชื้อมีความรุนแรงก็อาจจะมีคนเสียชีวิตมากกว่านี้ การคำนวณอาศัยข้อมูลการระบาดปี 1958
  • จำนวนเตียงของโรงพยาบาลไม่เพียงพอ จะขาดคนทำงาน ทำให้การขนส่ง การดูแลไม่เพียงพอ
  • จะขาดแคลนยาปฏิชีวนะ วัคซีน
  • เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจและทางสังคม
  • ไม่มีการช่วยเหลือจากนานาชาติเนื่องจากแต่ละประเทศก็ห่วงคนของตัวเอง
สัญญาณเตือนภัยว่าเชื้อไข้หวัดนกติดต่อจากคนสู่คน

ประชาชนควรจะเฝ้าระวังว่าจะมีการระบาดใหญ่หรือไม่โดยสังเกตจาก รายละเอียดอ่านที่นี่

  1. มีการติดเชื้อในกลุ่มคนที่ใกล้ชิดกัน เกิดโรคเวลาใกล้เคียงกัน
  2. เจ้าหน้าที่ติดเชื้อไข้หวัดนกจากการดูแลผู้ป่วย
  3. มีการกลายพันธ์ของเชื้อโรค
ยาที่ใช้รักษา

ยาที่ใช้ในการรักษาได้แก่ Oseltamivir[tamiflu] และยา Zannamivir[Relenza] เป็นยาที่จะช่วยบรรเทาอาการของโรคแต่ต้องให้ยาภายใน 48 ชั่วโมงหลั่งเกิดอาการ

ความรู้ใหม่ล่าสุดปี2006

  • องค์การอนามัยโลเตือนเรื่องการระบาดของไข้หวัดนกจากคนสู่คน 23 พค 2549 อ่านที่นี่ 
  • ความปลอดภัยของแหล่งน้ำ 23 พค 2549 อ่านที่นี่ 
  • การจัดการเมื่อเริ่มเกิดการระบาดของไข้หวัดนก มีนาคม 2006 อ่านที่นี่ 
  • การเตรียมความพร้อมสำหรับการระบาดของไข้หวัดนก 2005 อ่านที่นี่

ความรู้ไข้หวัดนก

การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันไข้หวัดนก

การระบาดของไข้หวัดนก

ไข้หวัดใหญ่

โรคไข้หวัดใหญ่ (อังกฤษ: influenza) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในทุกคนทุกเพศทุกวัย พบได้เกือบทั้งปี แต่จะเป็นมากในช่วงฤดูฝน ซึ่งบางปีอาจจะพบการระบาด พบเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของอาการไข้ที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน แพทย์มักจะให้การวินิจฉัยผู้ใหญ่ที่มีอาการตัวร้อนมา 2-3 วัน โดยไม่มีอาการอย่างอื่นชัดเจนว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ซึ่งบางครั้งก็อาจพบการผิดพลาดได้

เนื้อหา

[ซ่อน]

[แก้]สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นไวรัสมีชื่อว่า ไวรัสอินฟลูเอนซา (influenza virus) เชื้อนี้จะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการไอ หรือจาม หรือการสัมผัสถูกมือของเครื่องใช้เปื้อนเชื้อโรค ระยะฟักตัว 1-4 วัน เชื้อไข้หวัดใหญ่มีอยู่ 3 ชนิด เรียกว่า ชนิด เอ,บี และซี ซึ่งแต่ละชนิดยังแบ่งเป็นพันธ์ย่อยๆ ไปอีกมากมาย ในการเกิดโรคแต่ละครั้งจะเกิดจากพันธุ์ย่อยๆ เพียงพันธุ์เดียว ซึ่งเป็นแล้วจะมีภูมิคุ้มกันต่อพันธุ์นั้น เชื้อไข้หวัดใหญ่บางพันธุ์ อาจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำให้เกิดการระบาดใหญ่ และมีการเรียกชื่อโรคที่ระบาดแต่ละครั้งตามชื่อของประเทศที่เป็นแหล่งต้นกำเนิด

[แก้]การระบาดของไข้หวัดใหญ่ทั่วโลก

การระบาดใหญ่เกิดขึ้นจากการอุบัติของไวรัสชนิดใหม่ เรียงลำดับดังนี้

พ.ศ. 2461-2462 (ค.ศ.1918-1919) ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A ชนิดย่อย (subtype) H1N1 (ในยุคนั้นยังไม่สามารถตรวจแยกเชื้อได้ การตรวจชนิดของเชื้อไวรัสเกิดขึ้นภายหลัง) มีชื่อว่าไข้หวัดใหญ่สเปน (Spainish flu) เป็นการระบาดทั่วโลกครั้งร้ายแรงที่สุด คร่าชีวิตผู้คนไปประมาณ 50 ล้านคน (มากกว่าผู้คนที่เสียชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เสียอีก) เป็นผู้ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาถึงกว่า 500,000 คน

พ.ศ. 2500-2501 (ค.ศ.1957-1958) ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A ชนิดย่อย H2N2 มีชื่อว่าไข้หวัดใหญ่เอเชีย (Asian flu) เริ่มที่ตะวันออกไกลก่อนระบาดไปทั่วโลก มีผู้เสียชีวิต 70,000 คนในสหรัฐอเมริกา การระบาดในครั้งนี้สามารถตรวจพบและจำแนกเชื้อได้รวดเร็ว และผลิตวัคซีนออกมาฉีดป้องกันได้ทัน จึงมีผู้เสียชีวิตไม่มากนัก

พ.ศ. 2511-2512 (ค.ศ.1968-1969) ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A ชนิดย่อย H3N2 มีชื่อว่าไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง (Hong Kong flu) รายงานผู้ป่วยรายแรกเป็นชาวฮ่องกง แล้วจึงแพร่กระจายออกไป มีผู้เสียชีวิตประมาณ 34,000 คนในอเมริกา เป็นชนิดย่อยที่มีลักษณะทางพันธุกรรมคล้ายไข้หวัดใหญ่เอเชีย (H2N2) จึงมีผู้ป่วยจำนวนไม่มากนัก เพราะมีภูมิคุ้มกันอยู่บ้างแล้ว

พ.ศ. 2520-2521 (ค.ศ.1977-1978) ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A ชนิดย่อย H1N1 กลับมาระบาดใหม่ มีชื่อว่าไข้หวัดใหญ่รัสเซีย (Russian flu) เริ่มระบาดที่ประเทศจีนตอนเหนือแล้วกระจายไปทั่วโลก ทราบภายหลังว่าเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่กระจายอยู่ทั่วไปก่อนปี พ.ศ. 2500 คือ ไข้หวัดใหญ่สเปน (H1N1) ที่ระบาดเมื่อปี พ.ศ. 2461-2462 (ก่อนถูกแทนที่ด้วยไข้หวัดใหญ่เอเชีย คือชนิดย่อย H2N2 ในปี พ.ศ. 2500) ผู้ที่อายุเกิน 23 ปีในขณะนั้น ส่วนใหญ่มีภูมิต้านทานโรคแล้วจากการระบาดครั้งก่อน จึงเกิดโรครุนแรงเฉพาะผู้ที่อายุน้อยกว่า 23 ปี ที่ไม่มีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสชนิดนี้เท่านั้น

พ.ศ. 2552 (ค.ศ.2009) ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A ชนิดย่อย H1N1 เป็นไวรัสที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมระหว่างไวรัสไข้หวัดใหญ่นก ไข้หวัดใหญ่หมูและไข้หวัดใหญ่มนุษย์ เกิดเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่พันธุ์ผสม กลับมาระบาดอีกครั้ง มีชื่อว่าไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก (Mexican flu) หรือชื่อใหม่ว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่ A ชนิดย่อย H1N1 2009 เริ่มระบาดที่ประเทศเม็กซิโกเมื่อเดือน มี.ค.แล้วกระจายสู่สหรัฐอเมริกา แคนาดา นิวซีแลนด์ ฯลฯ

[แก้]ไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดต่างกันอย่างไร?

ไข้หวัดใหญ่พบมากทุกอายุ โดยเฉพาะในเด็กจะพบมากเป็นพิเศษ แต่อัตราการตายมักจะพบในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 65 ปีหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคไต เป็นต้น การฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่ป้องกันได้ผลมากที่สุด สามารถลดอัตราการติดเชื้อ ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล ลดโรคแทรกซ้อน และลดการหยุดงาน ไข้หวัดเป็นการติดเชื้อไวรัสทำให้เกิดอาการน้ำมูกไหลมีไข้ไม่สูง สำหรับไข้หวัดใหญ่เป็นการติดเชื้อจากไวรัส ที่เรียกว่า “Influenza virus” เป็นการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจซึ่งอาจจะลามลงไปปอด ผู้ป่วยจะมีอาการค่อนข้างเร็ว ไข้สูงกว่าไข้หวัด ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียอย่างฉับพลัน

ในปี ค.ศ. 2003 ได้มีการแนะนำเรื่องไข้หวัดใหญ่ดังนี้

  1. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีน คือ เดือนตุลาคม และ พฤศจิกายน (เนื่องจากเชื้อนี้มักจะระบาดในต่างประเทศ หากประเทศเราจะฉีดก็น่าจะเป็นช่วงเดียวกัน) โดยเน้นไปที่ประชาชนที่มีอายุ 50 ปี,เด็กอายุ 6-23 เดือน,คนที่อายุ 2-49 ปีที่มีโรคประจำตัวกลุ่มนี้ให้ฉีดในเดือนตุลาคม ส่วนกลุ่มอื่น เช่นเด็ก เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ผู้ดูแลคนป่วย กลุ่มนี้ให้ฉีดเดือนพฤศจิกายน
  2. เ ด็กที่อายุ 6-23 เดือน ควรจะฉีดทุกรายโดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัวร่วมด้วย
  3. ชนิดของวัคซีนที่จะฉีดให้ใช้ชนิดที่มีส่วนผสมของเชื้อ A/Moscow/10/99 (H3N2) -like, A/New Caledonia/20/99 (H1N1) -like, และ B/Hong Kong/330/2001
  4. ให้ลดปริมาณสาร thimerosal ซึ่งเป็นสารปรอท

[แก้]อาการ

มักจะเกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยอาการไข้สูง ตัวร้อน หนาว ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะที่หลัง ต้นแขนต้นขา ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ขมในคอ คัดจมูก มีน้ำมูกใสๆ ไอแห้งๆ จุกแน่นท้อง แต่บางรายอาจไม่มีอาการคัดจมูก หรือเป็นหวัดเลยก็ได้ มีข้อสังเกตว่า ไข้หวัดใหญ่มักเป็นหวัดน้อย แต่หวัดน้อยมักเป็นหวัดมาก ไข้มักเป็นอยู่ 2-4 วัน แล้วค่อยๆ ลดลง อาการไอและอ่อนเพลีย อาจเป็นอยู่ 1-4 สัปดาห์ แม้ว่าอาการอื่นๆ จะหายลงแล้ว บางรายเมื่อหายจากไข้หวัดใหญ่แล้วอาจมีอาการเวียนศีรษะเมารถเมาเรือเนื่องจากการอักเสบของอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน ซึ่งมักจะหายเอง ใน 3-5 วัน

  1. ไข้หวัดใหญ่ที่ไม่มีโรคแทรกซ้อน ระยะฟักตัว 1-4วัน โดยเฉลี่ย 2 วัน
  • ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลียอย่างฉับพลัน
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้
  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
  • ปวดตามแขนขา ปวดข้อ ปวดรอบตา
  • ไข้สูง 39-40 ํc
  • เจ็บคอ และ คอแดง มีน้ำมูกใสไหล
  • ไอแห้ง ๆ
  • ตามตัวจะร้อน แดง ตาแดง
  • อาการอาเจียน หรือท้องเดิน ไข้เป็น 2-4 วันแล้วค่อย ๆ ลดลง แต่อาการคัดจมูก และแสบคอยังคงอยู่โดยทั่วไปจะหายใน 1 สัปดาห์
  1. สำหรับรายที่เป็นรุนแรงมักเกิดในผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังอยู่ก่อนมักจะเกิดโรคแทรกซ้อนที่ระบบอื่นด้วย เช่น

[แก้]สิ่งตรวจพบ

ไข้ 38.5-40 องศาเซลเซียส หน้าแดง เปลือกตาแดงอาจมีน้ำมูกใสๆ คอแดงเล็กน้อยหรือไม่แดงเลยก็ได้ ส่วนมากมักตรวจไม่พบอาการผิดปกติอื่นๆ

[แก้]อาการแทรกซ้อน

ส่วนมากจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ภาวะแทรกซ้อนจะเกิดขึ้นเป็นส่วนน้อย ที่พบได้บ่อย ได้แก่ ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หูชั้นในอักเสบ หลอดลมอักเสบ ภาวะที่สำคัญคือปอดอักเสบ ซึ่งมักจะเกิดกับจากแบคทีเรียพวก นิวโมค็อกคัส หรือสเตฟฟิโลค็อกคัส ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงมักจะเกิดในเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่สูบบุหรี่จัด หรือผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังทางปอดหรือหัวใจ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่จะมีโอกาสแทรกซ้อนถึงตายได้นั้นนับว่าน้อยมาก มักจะเกิดขึ้นในเด็กเล็ก หรือผู้ป่วยเรื้อรัง

[แก้]การติดต่อ

เชื้อนี้จะติดต่อได้ง่าย การติดต่อสามารถติดต่อได้โดย

  1. เชื้อสามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งโดยการหายใจได้รับน้ำมูก หรือ เสมหะของผู้ป่วยโดยเชื้อจะผ่านเข้าทางเยื่อบุตา จมูก และปาก
  2. การที่คนได้สัมผัสสิ่งที่ปนเชื้อโรค เช่น ผ้าเช็ดหน้า ช้อน แก้วน้ำ การจูบ
  3. การที่มือไปสัมผัสเชื้อแล้วขยี้ตา หรือ เอาเข้าปาก

[แก้]ระยะติดต่อ

ระยะเวลาที่ติดต่อคนอื่นคือ 1 วันก่อนเกิดอาการ, 5 วันหลังจากมีอาการ ในเด็กอาจจะแพร่เชื้อ 6 วันก่อนมีอาการ และแพร่เชื้อได้นาน 10 วัน

[แก้]การวินิจฉัย

การวินิจฉัยไข้หวัดใหญ่จะอาศัยประวัติและการตรวจร่างกายเป็นหลักโดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดของเชื้อ การวินิจฉัยที่แน่นอนอาจจะทำได้ 2 วิธีคือ

  • นำไม้พันสำลีแหย่ที่คอ หรือจมูก แล้วนำไปเพาะเชื้อ
  • เจาะเลือด
    • ตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโดยต้องเจาะ 2 ครั้งห่างกัน 2 ชั่วโมงแล้วเปรียบการเพิ่มของภูมิต่อเชื้อ
    • การตรวจหา Antigen
    • การตรวจโดยวิธี PCR,Imunofluorescent

[แก้]โรคแทรกซ้อน

ติดเชื้อแบคทีเรีย อาจจะทำให้ปอดบวม ฝีในปอด หนองในช่องเยื่อหุ้มปอด นอกจากนี้ ไข้หวัดใหญ่ในหญิงมีครรภ์ ยังผลต่อมารดามักเป็นชนิดรุนแรงและมีอาการมาก ผลต่อเด็กอาจจะทำให้แท้ง

[แก้]การรักษา

ไข้หวัดใหญ่ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนท่านผู้อ่านสามารถดูแลตัวเองที่บ้าน

  • ให้นอนพักไม่ควรออกกำลังกาย
  • ให้ดื่มน้ำ หรือ น้ำผลไม้ หรือน้ำซุป หรืออาจจะดื่มน้ำเกลือแร่ ร่วมด้วย แต่ไม่ควรดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว เพราะจะทำให้ท่านขาดเกลือแร่ได้ หรืออาจจะเตรียมโดยใช้น้ำข้าวใส่เกลือ และน้ำตาลก็ได้
  1. ให้การดูแลปฏิบัติตัว และรักษาตามอาการเหมือนไข้หวัด คือ นอนพักผ่อนมากๆ ห้ามตรากตรำทำงานหนัก ห้ามอาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง กินอาหารอ่อน ดื่มน้ำและน้ำหวาน หรือน้ำผลไม้ ให้ยาแก้ปวด Paracetamol ผู้ใหญ่ ครั้งละ 1-2 เม็ด (500 มิลลิกรัม) วันละ 2-3 ครั้ง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน
  2. ยาปฏิชีวนะ ไม่จำเป็นต้องให้เพราะเป็นโรคที่เกิดจากไวรัส จะให้ก็ต่อเมื่อมีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น น้ำมูกหรือเสลดเป็นสีเหลืองหรือเขียว ยาปฏิชีวนะที่มีให้เลือกใช้ ได้แก่ เพนวี ขนาดผู้ใหญ่ ให้ครั้งละ 4 แสนยูนิต ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง วันละ4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน ในเด็กให้ครั้งละ 50,000 ยูนิต ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หรืออิริโทรไมซิน ผู้ใหญ่ ให้ครั้งละ 250-500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง ในเด็ก ให้วันละ 30-50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แบ่งให้ทุก 6 ชั่วโมง
  3. ถ้ามีอาการหอบหรือสงสัยปอดอักเสบ ควรส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

[แก้]ข้อแนะนำ

  1. โรคนี้ไม่ถือว่าเป็นโรคร้ายแรง ส่วนมากให้การดูแลตามอาการก็จะได้เองภายใน 3-5 วัน ถ้ามีไข้เกิน7 วัน ควรสงสัยไข้อื่นๆ นอนจากไข้หวัด ควรพบแพทย์เพื่อดูแลรักษาต่อไป

[แก้]การป้องกัน

ปฏิบัติตัวเหมือนโรคหวัด

[แก้]การรักษาตามอาการ และการประคับประคอง

  • ลดไข้ด้วยยาลดไข้ เช่น paracetamol ไม่ควรให้ aspirin ในคนที่มีอายุน้อยกว่า 16 ปีเพราะอาจจะทำให้เกิด Reye syndrome ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะ ถ้าไอมากอาจจะซื้อยาแก้ไอรับประทาน
  • สำหรับผู้ที่เจ็บคออาจใช้น้ำ 1 แก้วผสมกับเกลือ 1 ช้อนกลั้วคอ แต่ห้ามดื่ม
  • สำหรับท่านที่มีอาการคัดจมูกอาจจะใช้ไอน้ำช่วยวิธีง่าย ๆ คือ ต้มน้ำร้อนแล้วให้นั่งหน้ากาน้ำเอาผ้าคลุมศีรษะและสูดดมไอน้ำ อาจจะใส่ vickหรือขิงลงไปเพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก
  • อย่าสั่งน้ำมูกแรง ๆ เพราะจะทำให้เชื้อลุกลาม
  • ให้ล้างมือบ่อย ๆ เมื่อออกนอกบ้าน ในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่ให้หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ ลูกบิดประตู เป็นต้น
  • สวมผ้าปิดจมูก ป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น และช่วยป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย เพราะ ระหว่างเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ จะมีภูมิต้านทานต่ำ
  • ไม่อยู่ใกล้ เด็ก หรือ ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ
  • ช่วงที่มีการระบาดให้หลีกเลี่ยงจากที่สาธารณะ

[แก้]ผู้ป่วยควรพบแพทย์เมื่อไร

ไข้หวัดใหญ่สามารถหายเองได้และท่านสามารถดูแลตัวเองที่บ้าน แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ปรึกษาแพทย์ประจำตัวท่าน

[แก้]ผู้ป่วยเด็ก

ในเด็กควรจะปรึกษาแพทย์เมื่อ

  • ไข้สูง และเป็นนาน
  • ให้ยาลดไข้แล้วไข้ยังเกิน 38.5ํ c
  • หายใจหอบ หรือหายใจลำบาก
  • มีอาการมากกว่า 7 วัน
  • ผิวสีม่วง
  • เด็กดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารไม่พอ
  • เด็กซึมลง ไม่เล่น
  • เด็กไข้ลดลง แต่หายใจหอบ

[แก้]ผู้ป่วยผู้ใหญ่

สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นไข้หวัดใหญ่

  • ไข้สูง และเป็นมานาน
  • หายใจลำบาก หรือหายใจหอบ
  • เจ็บหรือแน่นหน้าอก
  • หน้ามืดเป็นลม
  • สับสน
  • อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้

[แก้]ผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเสี่ยง

ผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงควรพบแพทย์ทันทีที่เป็นไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อน ได้แก่

[แก้]ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการต่อไปนี้ต้องเข้าโรงพยาบาล

  • มีอาการขาดน้ำ ไม่สามารถดื่มน้ำได้อย่างเพียงพอ
  • ไอ แล้วเสมหะมีเลือดปน
  • หายใจลำบาก หายใจหอบ
  • สีริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีเขียว
  • ไข้สูงมากผู้ป่วยเพ้อ
  • มีอาการไข้ และไอหลังจากที่อาการไข้หวัดใหญ่หายไปแล้ว

[แก้]การรักษาในโรงพยาบาล

  • ผู้ป่วยที่ขาดน้ำแพทย์จะให้น้ำเกลือ
  • ผู้ป่วยเหล่านี้ควรได้รับยา amantadine และ rimantadine เพื่อให้หายเร็ว และลดความรุนแรงของโรคยานี้ควรให้ภายใน 48 ชั่วโมงหลัง* จากเริ่มมีอาการและให้ต่อ 5-7 วัน ยานี้ไม่ช่วยลดโรคแทรกซ้อน
  • ถ้ามีอาการคัดจมูกแพทย์จะให้ยาลดน้ำมูก
  • ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนก็ไม่ควรให้ยาปฏิชีวนะ

ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการจะหายใน 2-3 วัน ไข้จะหายใน 7 วัน อาการอ่อนเพลียอาจจะอยู่ได้นาน1-2 สัปดาห์

[แก้]การป้องกัน

  • ล้างมือบ่อยๆ
  • หลีกเลี่ยงการเอามือเข้าปากหรือขยี้ตา
  • อย่าใช้ของส่วนตัวร่วมกับคนอื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด เมื่อเวลาเจ็บป่วย
  • ให้พักที่บ้านเมื่อเวลาป่วย
  • สวมผ้าปิดจมูก เวลาไอ หรือจาม

[แก้]วัคซีนป้องกัน

การป้องกันที่ดี คือ การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นวัคซีนที่ทำจากเชื้อที่ตายแล้วโดยฉีดที่แขนปีละครั้ง หลังฉีด 2สัปดาห์ภูมิคุ้มกันจึงจะสูงพอป้องกันการติดเชื้อ แต่การฉีดจะเลือกผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน คือ

  • ผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปี
  • ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัวเช่น โรคไต โรคหัวใจ โรคตับ
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  • ผู้ป่วยโรคเอดส์
  • หญิงตั้งครรภ์ 3 เดือนขึ้นไป และมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่
  • ผู้ที่อาศัยในบ้านพักคนชรา
  • เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
  • สมาชิกในครอบครัวที่เป็นโรคเรื้อรัง
  • นักเรียนที่อยู่รวมกัน
  • ผู้ที่จะไปเที่ยวยังแหล่งระบาดของไข้หวัดใหญ่
  • ผู้ที่ต้องการลดอัตราการติดเชื้อ

[แก้]การใช้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่เพื่อรักษา

การให้ยาภายใน 2 วันหลังเกิดอาการจะลดระยะเวลาเป็นโรค

[แก้]จะใช้ยารักษาไข้หวัดกับคนกลุ่มใด

เราจะใช้ยากับคนกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ และยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน และอยู่ในช่วงที่มีการระบาดของโรคกลุ่มที่ควรจะได้รับยารักษา ได้แก่

  • คนที่อายุมากกว่า 65 ปี
  • เด็กอายุ 6-23 เดือน
  • คนท้อง
  • คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคตับ โรคหัวใจ

[แก้]การให้ยาเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่

ยาที่ได้รับการรับรองว่าใช้ป้องกันไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ อะแมนตาดีน ไรแมนตาดีน และ โอเซลทามิเวียร์ วิธีการป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ดีที่สุดคือ การฉีดวัคซีน แต่ก็มีบางกรณีที่จำเป็นต้องให้ยาเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่

  • ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับวัคซีนไม่ทัน ทำให้ต้องได้รับยาในช่วงที่มีการระบาดของโรค
  • ผู้ที่ดูแลกลุ่มเสี่ยงและไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ควรจะได้รับยาในช่วงที่มีการระบาดของโรค
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไม่ดี เช่น โรคเอดส์
  • กลุ่มคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกัน

url=http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88

วันเข้าพรรษา

วันเข้าพรรษา
 

 


จากที่เกิดวันเข้าพรรษา เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์อยู่จำพรรษา เหตุเพราะสมัยก่อนฝนตกชุก การเดินทางสัญจรไปมาก็ไม่สะดวก อีกทั้งไปเหยียบต้นข้าวของชาวบ้าน ในสมัยที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว และได้ให้พระภิกษุสงฆ์ออกไปตามเขตต่าง ๆ เพื่อประกาศพระศาสนา จนมีผู้ขออุปสมบทมากขึ้น จึงทำให้มีพระภิกษุสงฆ์ออกไปเผยแพร่พระศาสนากันมากขึ้น แม้ในฤดูฝนก็มิได้หยุดพัก การเดินทางก็ไม่สะดวก ทั้งยังเหยียบข้าวกล้าให้เกิดความเสียหาย ทำให้สัตว์เล็กน้อยตาย ประชาชนจึงพากันติเตียนว่า “ไฉนเล่า พระสมณศากยบุตรจึงเที่ยวไปมาอยู่ทุกฤดูกาล เหยียบข้าวกล้าและติณชาติให้ได้รับความเสียหาย ทำให้สัตว์เล็กน้อยตาย พวกเดียรถีย์และปริพพาชกเสียอีกยังพากันหยุดพักในฤดูฝน ถึงนกยังรู้จักทำรังที่กำบังฝนของตน”
พระพุทธองค์ได้ทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงทรงบัญญัติเป็นธรรมเนียมให้พระสงฆ์อยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือนในฤดูฝน ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ไปจนถึงกลางเดือน ๑๑ ห้ามมิให้เที่ยวสัญจรไปมา

วันเข้าพรรษาที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตไว้มีอยู่ ๒ วัน คือ
๑.ปุริมิกาวัสสูปนายิกา คือ วันเข้าพรรษาแรก ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ไปจนถึงวันเพ็ญ กลางเดือน ๑๑
๒.ปัจฉิมมิกาวัสสูปนายิกา คือ วันเข้าพรรษาหลัง ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ไปจนถึงวันเพ็ญกลางเดือน ๑๒

ภิกษุเข้าพรรษาแล้ว หากมีกิจธุระจำเป็นอันชอบด้วยพระวินัย พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้ไปได้ แต่จะต้องกลับมา ยังสถานที่เดิมภายใน ๗ วัน พรรษาไม่ขาด ที่เรียกว่า “สัตตาหกรณียะ” เหตุที่ทรงอนุญาตให้ไปได้ด้วยสัตตาหกรณียะนั้นมี ๔ อย่างดังต่อไปนี้
๑. สหธรรมิกหรือมารดาบิดาเจ็บไข้ รู้เข้าไปเพื่อรักษาพยาบาล
๒. สหธรรมิกกระสันจะสึก รู้เข้าไปเพื่อห้ามปราม
๓. มีกิจสงฆ์เกิดขึ้น เช่น วิหารชำรุดลงในเวลานั้น ไปเพื่อหาเครื่องทัพพสัมภาะมาปฏิสังขรณ์
๔. ทายกต้องการบำเพ็ญบุญกุศลส่งคนมานิมนต์ ไปเพื่อบำรุงศรัทธาของเขาได้
แม้ธุระอื่นนอกจากนี้ที่เป็นกิจจลักษณะอนุโลมเข้าในข้อนี้ด้วย

ในเวลาจำพรรษาเมื่อมีอันตรายเกิดขึ้นจะอยู่ต่อไปไม่ได้ และไปเสียจากที่นั้น พรรษาขาด
แต่ท่านไม่ปรับอาบัติ (ไม่เป็นอาบัติ) มีดังนี้ คือ
๑. ถูกสัตว์ร้าย โจร หรือปีศาจเบียดเบียน
๒. เสนาสนะถูกไฟไหม้ หรือน้ำท่วม
๓. ภัยเช่นนั้นเกิดขึ้นแก่โคจรคาม ลำบากด้วยบิณฑบาต ในข้อนี้ชาวบ้านอพยพจะตามเขาไปก็ควร
๔. ขัดสนด้วยอาหาร โดยปกติไม่ได้อาหารหรือเภสัชอันสบาย ไม่ได้อุปัฏฐากอันสมควร (ข้อนี้หากพอทนได้ก็ควรอยู่ต่อไป)
๕ .มีหญิงมาเกลี้ยกล่อม หรือมีญาติมารบกวนล่อด้วยทรัพย์
๖. สงฆ์ในอาวาสอื่นจวนจะแตกกันหรือแตกกันแล้ว ไปเพื่อจะห้ามหรือเพื่อสมานสามัคคีได้อยู่ (ในข้อนี้ ถ้ากลับมาทัน ควรไปด้วยสัตตาหกรณียะ)

พระพุทธองค์ทรงอนุญาตการอยู่จำพรรษาในสถานที่บางแห่ง แก่ภิกษุบางรูปผู้มีความประสงค์ จะอยู่จำพรรษาในสถานที่ต่าง ๆ กัน สถานที่เหล่านั้น คือ
๑. ในคอกสัตว์ (อยู่ในสถานที่ของคนเลี้ยงโค)
๒. เมื่อคอกสัตว์ย้ายไป ทรอนุญาตให้ย้ายตามไปได้
๓. ในหมู่เกวียน
๔. ในเรือ

พระพุทธองค์ทรงห้ามมิให้อยู่จำพรรษาในสถานที่อันไม่สมควร สถานที่เหล่านั้นคือ
๑. ในโพรงไม้
๒. บนกิ่งหรือคาคบไม้
๓. ในที่กลางแจ้ง
๔. ในที่ไม่มีเสนาสนะ คือไม่มีที่นอนที่นั่ง
๕. ในโลงผี
๖. ในกลด
๗. ในตุ่ม

ข้อห้ามที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้อีกอย่างหนึ่ง คือ
๑. ห้ามมิให้ตั้งกติกาอันไม่สมควร เช่น การมิให้มีการบวชกันภายในพรรษา
๒. ห้ามรับปากว่าจะอยู่พรรษาในที่ใดแล้ว ไม่จำพรรษาในที่นั้น

อนึ่ง วันเข้าพรรษานี้ ถือกันว่าเป็นกรณียพิเศษสำหรับภิกษุสงฆ์ เมื่อใกล้วันเข้าพรรษาควรปัดกวาด เสนาสนะสำหรับจะอยู่จำพรรษาให้ดี ในวันเข้าพรรษา พึงประชุมกันในโรงอุโบสถไหว้พระสวดมนต์ ขอขมาต่อกันและกัน หลังจากนั้นก็ประกอบพิธีอธิษฐานพรรษา ภิกษุควรอธิษฐานใจของตนเองคือตั้งใจเอาไว้ว่า ตลอดฤดูกาลเข้าพรรษานี้ ตนเองจะไม่ไปไหน ด้วยการเปล่งวาจาว่า

“อิมสฺมึ อาวาเส อิมัง เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ แปลว่า ข้าพเจ้าจะอยู่จำพรรษาในอาวาสนี้ตลอด ๓ เดือน”

หลังจากเสร็จพิธีเข้าพรรษาแล้ว ก็นำดอกไม้ธูปเทียนไปนมัสการบูชาปูชนียวัตถุที่สำคัญในวัดนั้น ในวันต่อมาก็นำดอกไม้ ธูปเทียนไปขอขมาพระอุปัชฌาย์อาจารย์และพระเถระผู้ที่ตนเองเคารพนับถือ

อานิสงส์แห่งการจำพรรษา

เมื่อพระภิกษุอยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนได้ปวารณาแล้ว ย่อมจะได้รับอานิสงส์แห่งการจำพรรษา ๕ อย่าง ตลอด ๑ เดือนนับแต่วันออกพรรษาเป็นต้นไป คือ
๑. เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องบอกลา ตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ปาจิตตีย์กัณฑ์
๒. เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ
๓. ฉันคณะโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้
๔. เก็บอติเรกจีวรได้ตามปรารถนา
๕. จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของพวกเธอ

และยังได้โอกาสเพื่อที่จะกราลกฐิน และได้รับอานิสงส์พรรษาทั้ง ๕ ขึ้นนั้นเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือน ในฤดูหนาว คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ไปจนถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ อีกด้วย

ในวันเข้าพรรษานี้ตามประวัติ ชาวไทยเราได้ประกอบพิธีทางศาสนาเนื่องในวันเข้าพรรษา มาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย ซึ่งมีทั้ง พิธีหลวง และ พิธีราษฎร์ กิจกรรมที่กระทำก็มีการเตรียมเสนาสนะให้อยู่ในสภาพที่ดี สำหรับจะได้จำพรรษาอยู่ตลอด 3 เดือน จัดทำ เทียนจำนำพรรษา เพื่อใช้จุดบูชาพระบรมธาตุ พระพุทธปฏิมา พระปริยัติธรรม ตลอดทั้ง 3 เดือน ถวายธูป เทียน ชวาลา น้ำมันตามไส้ประทีปแก่พระภิกษุสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาในพระอาราม

สำหรับเทียนจำนำพรรษาจะมีการ แห่เทียน ไปยังพระอารามทั้งทางบกและทางน้ำตามแต่หนทางที่ไปจะอำนวยให้ เพื่อนำเทียนเข้าไปตั้งในพระอุโบสถหรือพระวิหาร แล้วก็จะจุดเทียนเพื่อบูชาพระรัตนตรัย

สำหรับการปฏิบัติอื่น ๆ ก็จะมีการถวาย ผ้าอาบน้ำฝน การอธิษฐานตนว่าจะประพฤติปฏิบัติให้อยู่ในกรอบของศีลห้า ศีลแปด ฟังเทศน์ฟังธรรม ตามระยะเวลาที่กำหนดโดยเคร่งครัด ตามกำลังศรัทธา และขีดความสามารถของตน นับว่าวันเข้าพรรษาเป็นโอกาสอันดีที่พุทธศาสนิกชน จะได้ประพฤติปฏิบัติตนในกรอบของพระพุทธศาสนาได้เข้มข้นยิ่งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

๑. ทำบุญใส่บาตร
๒. ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม และฟังพระธรรมเทศนา
๓. ไปเวียนเทียนที่วัด
๔. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการ

url=

วันเข้าพรรษา
 

 

 


จากที่เกิดวันเข้าพรรษา เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์อยู่จำพรรษา เหตุเพราะสมัยก่อนฝนตกชุก การเดินทางสัญจรไปมาก็ไม่สะดวก อีกทั้งไปเหยียบต้นข้าวของชาวบ้าน ในสมัยที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว และได้ให้พระภิกษุสงฆ์ออกไปตามเขตต่าง ๆ เพื่อประกาศพระศาสนา จนมีผู้ขออุปสมบทมากขึ้น จึงทำให้มีพระภิกษุสงฆ์ออกไปเผยแพร่พระศาสนากันมากขึ้น แม้ในฤดูฝนก็มิได้หยุดพัก การเดินทางก็ไม่สะดวก ทั้งยังเหยียบข้าวกล้าให้เกิดความเสียหาย ทำให้สัตว์เล็กน้อยตาย ประชาชนจึงพากันติเตียนว่า “ไฉนเล่า พระสมณศากยบุตรจึงเที่ยวไปมาอยู่ทุกฤดูกาล เหยียบข้าวกล้าและติณชาติให้ได้รับความเสียหาย ทำให้สัตว์เล็กน้อยตาย พวกเดียรถีย์และปริพพาชกเสียอีกยังพากันหยุดพักในฤดูฝน ถึงนกยังรู้จักทำรังที่กำบังฝนของตน”
พระพุทธองค์ได้ทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงทรงบัญญัติเป็นธรรมเนียมให้พระสงฆ์อยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือนในฤดูฝน ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ไปจนถึงกลางเดือน ๑๑ ห้ามมิให้เที่ยวสัญจรไปมา

วันเข้าพรรษาที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตไว้มีอยู่ ๒ วัน คือ
๑.ปุริมิกาวัสสูปนายิกา คือ วันเข้าพรรษาแรก ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ไปจนถึงวันเพ็ญ กลางเดือน ๑๑
๒.ปัจฉิมมิกาวัสสูปนายิกา คือ วันเข้าพรรษาหลัง ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ไปจนถึงวันเพ็ญกลางเดือน ๑๒

ภิกษุเข้าพรรษาแล้ว หากมีกิจธุระจำเป็นอันชอบด้วยพระวินัย พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้ไปได้ แต่จะต้องกลับมา ยังสถานที่เดิมภายใน ๗ วัน พรรษาไม่ขาด ที่เรียกว่า “สัตตาหกรณียะ” เหตุที่ทรงอนุญาตให้ไปได้ด้วยสัตตาหกรณียะนั้นมี ๔ อย่างดังต่อไปนี้
๑. สหธรรมิกหรือมารดาบิดาเจ็บไข้ รู้เข้าไปเพื่อรักษาพยาบาล
๒. สหธรรมิกกระสันจะสึก รู้เข้าไปเพื่อห้ามปราม
๓. มีกิจสงฆ์เกิดขึ้น เช่น วิหารชำรุดลงในเวลานั้น ไปเพื่อหาเครื่องทัพพสัมภาะมาปฏิสังขรณ์
๔. ทายกต้องการบำเพ็ญบุญกุศลส่งคนมานิมนต์ ไปเพื่อบำรุงศรัทธาของเขาได้
แม้ธุระอื่นนอกจากนี้ที่เป็นกิจจลักษณะอนุโลมเข้าในข้อนี้ด้วย

ในเวลาจำพรรษาเมื่อมีอันตรายเกิดขึ้นจะอยู่ต่อไปไม่ได้ และไปเสียจากที่นั้น พรรษาขาด
แต่ท่านไม่ปรับอาบัติ (ไม่เป็นอาบัติ) มีดังนี้ คือ
๑. ถูกสัตว์ร้าย โจร หรือปีศาจเบียดเบียน
๒. เสนาสนะถูกไฟไหม้ หรือน้ำท่วม
๓. ภัยเช่นนั้นเกิดขึ้นแก่โคจรคาม ลำบากด้วยบิณฑบาต ในข้อนี้ชาวบ้านอพยพจะตามเขาไปก็ควร
๔. ขัดสนด้วยอาหาร โดยปกติไม่ได้อาหารหรือเภสัชอันสบาย ไม่ได้อุปัฏฐากอันสมควร (ข้อนี้หากพอทนได้ก็ควรอยู่ต่อไป)
๕ .มีหญิงมาเกลี้ยกล่อม หรือมีญาติมารบกวนล่อด้วยทรัพย์
๖. สงฆ์ในอาวาสอื่นจวนจะแตกกันหรือแตกกันแล้ว ไปเพื่อจะห้ามหรือเพื่อสมานสามัคคีได้อยู่ (ในข้อนี้ ถ้ากลับมาทัน ควรไปด้วยสัตตาหกรณียะ)

พระพุทธองค์ทรงอนุญาตการอยู่จำพรรษาในสถานที่บางแห่ง แก่ภิกษุบางรูปผู้มีความประสงค์ จะอยู่จำพรรษาในสถานที่ต่าง ๆ กัน สถานที่เหล่านั้น คือ
๑. ในคอกสัตว์ (อยู่ในสถานที่ของคนเลี้ยงโค)
๒. เมื่อคอกสัตว์ย้ายไป ทรอนุญาตให้ย้ายตามไปได้
๓. ในหมู่เกวียน
๔. ในเรือ

พระพุทธองค์ทรงห้ามมิให้อยู่จำพรรษาในสถานที่อันไม่สมควร สถานที่เหล่านั้นคือ
๑. ในโพรงไม้
๒. บนกิ่งหรือคาคบไม้
๓. ในที่กลางแจ้ง
๔. ในที่ไม่มีเสนาสนะ คือไม่มีที่นอนที่นั่ง
๕. ในโลงผี
๖. ในกลด
๗. ในตุ่ม

ข้อห้ามที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้อีกอย่างหนึ่ง คือ
๑. ห้ามมิให้ตั้งกติกาอันไม่สมควร เช่น การมิให้มีการบวชกันภายในพรรษา
๒. ห้ามรับปากว่าจะอยู่พรรษาในที่ใดแล้ว ไม่จำพรรษาในที่นั้น

อนึ่ง วันเข้าพรรษานี้ ถือกันว่าเป็นกรณียพิเศษสำหรับภิกษุสงฆ์ เมื่อใกล้วันเข้าพรรษาควรปัดกวาด เสนาสนะสำหรับจะอยู่จำพรรษาให้ดี ในวันเข้าพรรษา พึงประชุมกันในโรงอุโบสถไหว้พระสวดมนต์ ขอขมาต่อกันและกัน หลังจากนั้นก็ประกอบพิธีอธิษฐานพรรษา ภิกษุควรอธิษฐานใจของตนเองคือตั้งใจเอาไว้ว่า ตลอดฤดูกาลเข้าพรรษานี้ ตนเองจะไม่ไปไหน ด้วยการเปล่งวาจาว่า

“อิมสฺมึ อาวาเส อิมัง เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ แปลว่า ข้าพเจ้าจะอยู่จำพรรษาในอาวาสนี้ตลอด ๓ เดือน”

หลังจากเสร็จพิธีเข้าพรรษาแล้ว ก็นำดอกไม้ธูปเทียนไปนมัสการบูชาปูชนียวัตถุที่สำคัญในวัดนั้น ในวันต่อมาก็นำดอกไม้ ธูปเทียนไปขอขมาพระอุปัชฌาย์อาจารย์และพระเถระผู้ที่ตนเองเคารพนับถือ

อานิสงส์แห่งการจำพรรษา

เมื่อพระภิกษุอยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนได้ปวารณาแล้ว ย่อมจะได้รับอานิสงส์แห่งการจำพรรษา ๕ อย่าง ตลอด ๑ เดือนนับแต่วันออกพรรษาเป็นต้นไป คือ
๑. เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องบอกลา ตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ปาจิตตีย์กัณฑ์
๒. เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ
๓. ฉันคณะโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้
๔. เก็บอติเรกจีวรได้ตามปรารถนา
๕. จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของพวกเธอ

และยังได้โอกาสเพื่อที่จะกราลกฐิน และได้รับอานิสงส์พรรษาทั้ง ๕ ขึ้นนั้นเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือน ในฤดูหนาว คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ไปจนถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ อีกด้วย

ในวันเข้าพรรษานี้ตามประวัติ ชาวไทยเราได้ประกอบพิธีทางศาสนาเนื่องในวันเข้าพรรษา มาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย ซึ่งมีทั้ง พิธีหลวง และ พิธีราษฎร์ กิจกรรมที่กระทำก็มีการเตรียมเสนาสนะให้อยู่ในสภาพที่ดี สำหรับจะได้จำพรรษาอยู่ตลอด 3 เดือน จัดทำ เทียนจำนำพรรษา เพื่อใช้จุดบูชาพระบรมธาตุ พระพุทธปฏิมา พระปริยัติธรรม ตลอดทั้ง 3 เดือน ถวายธูป เทียน ชวาลา น้ำมันตามไส้ประทีปแก่พระภิกษุสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาในพระอาราม

สำหรับเทียนจำนำพรรษาจะมีการ แห่เทียน ไปยังพระอารามทั้งทางบกและทางน้ำตามแต่หนทางที่ไปจะอำนวยให้ เพื่อนำเทียนเข้าไปตั้งในพระอุโบสถหรือพระวิหาร แล้วก็จะจุดเทียนเพื่อบูชาพระรัตนตรัย

สำหรับการปฏิบัติอื่น ๆ ก็จะมีการถวาย ผ้าอาบน้ำฝน การอธิษฐานตนว่าจะประพฤติปฏิบัติให้อยู่ในกรอบของศีลห้า ศีลแปด ฟังเทศน์ฟังธรรม ตามระยะเวลาที่กำหนดโดยเคร่งครัด ตามกำลังศรัทธา และขีดความสามารถของตน นับว่าวันเข้าพรรษาเป็นโอกาสอันดีที่พุทธศาสนิกชน จะได้ประพฤติปฏิบัติตนในกรอบของพระพุทธศาสนาได้เข้มข้นยิ่งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

๑. ทำบุญใส่บาตร
๒. ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม และฟังพระธรรมเทศนา
๓. ไปเวียนเทียนที่วัด
๔. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการ

url=http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%B2